การเขียนสตอรี่บอร์ด
(Story board)
| ||||||||||
หลายคนอาจจะกลัวว่า
ตัวเองวาดรูปไม่เก่งแล้วจะวาดสตอรี่บอร์ดไม่ได้ ไม่เป็นความจริงเลย
เพราะการวาดสตอรี่บอร์ดเป็นเพียงรูปที่วาดง่ายๆ ก็ได้
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อถ่ายทอดไอเดีย (Idea) หรือความคิดว่า
ภาพควรออกมาอย่างรบนจอภาพยนตร์
การเขียนสตอรี่บอร์ด แตกต่างจากการวาดภาพการ์ตูน หรือภาพที่เน้นความสวยงามแบบศิลปะ เป็นการร่างภาพอย่างคร่าวๆ เท่านั้น วัตถุประสงค์เพื่อนำไปสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหว เช่น ภาพยนตร์ การ์ตูน โฆษณา สารคดี เป็นต้น โดยคำนึงถึงมุมกล้อง อาจมีบทสนทนาหรือไม่มีบทสนทนาก็ได้ | ||||||||||
ความหมายของสตอรี่บอร์ด (Story Board)
| ||||||||||
สตอรี่บอร์ดคือ
การเขียนภาพนิ่งเพื่อสร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวในรูปของสื่อมัลติมีเดีย
(Multimedia) หรือสื่อประสม หมายถึงสื่อหลายแบบ
เป็นการใช้สื่อในหลายรูปแบบ ทั้งข้อความ เสียง รูปภาพหรือภาพเคลื่อนไหว
เพื่อกำหนดแนวทางให้ทีมผู้ผลิตเกิดความเข้าใจไปในแนวทางเดียวกันในการถ่ายทำเป็นภาพเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ
ได้แก่ ภาพยนตร์ ภาพยนตร์โฆษณา ภาพยนตร์สั้น ภาพยนตร์การ์ตูน ภาพยนตร์สารคดี
หรือแม้แต่การทำผลงาน โดยแสดงออกถึงความต่อเนื่องของการเล่าเรื่อง
จุดประสงค์ของสตอรี่บอร์ดคือ เพื่อการเล่าเรื่อง ลำดับเรื่อง มุมกล้อง
ภาพไม่จำเป็นต้องละเอียดมาก แค่บอกองค์ประกอบสำคัญได้
ตำแหน่งตัวละครที่สัมพันธ์กับฉากและตัวละครอื่นๆ มุมกล้อง แสงเงา เป็นการ
สเก็ตซ์ภาพของเฟรม (Shot) ต่างๆ จากบท เหมือนการ์ตูนและวาดตัวละครเป็นวงกลม
สี่เหลี่ยม ฉากเป็นสี่เหลี่ยม การสร้างสตอรี่บอร์ดจะช่วยให้ Producer
และผู้กำกับได้เห็นภาพของรายการที่จะถ่ายทำเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้นได้ในแต่ละเฟรมที่จะดำเนินการ
| ||||||||||
ส่วนประกอบของสตอรี่บอร์ด
| ||||||||||
สตอรี่บอร์ด ประกอบด้วยชุดของภาพ Sketches ของ shot ต่างๆ พร้อมคำบรรยายหรือบทสนทนาในเรื่อง อาจเขียนเรื่องย่อและบทก่อน หรือ Sketches ภาพก่อน แล้วจึงใส่คำบรรยายที่จำเป็นลงไป สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ ภาพและเสียงต้องให้ไปด้วยกันได้ อาจมีบทสนทนาหรือไม่มีบทสนทนาก็ได้ หรืออาจมีบทบรรยายหรือไม่มีบทบรรยายก็ได้ โดยมีเสียงประกอบด้วย ได้แก่ เสียงดนตรี เสียงธรรมชาติหรือเสียงอื่นๆ สำหรับการผลิต | ||||||||||
ชลพรรษ ดวงปัญญา, การเขียนสตอรี่บอร์ด (Story Board) [Online], 9 กันยายน 2553, แหล่งที่มา http://province.m-culture.go.th/trat/storyboard2553/2.pdf | ||||||||||
รายการที่สั้นๆ อย่างภาพยนตร์โฆษณา
สามารถทำโดยใช้สตอรี่บอร์ดเป็นหลัก มิต้องเขียนบทหรือเขียนสคริปต์ขึ้นมา
ตัวอย่าง Storyboard
| ||||||||||
ความรู้พื้นฐานก่อนเขียนสตอรี่บอร์ด
| ||||||||||
ก่อนเขียนสตอรี่บอร์ดจะต้องศึกษาการเขียนเรื่อง
บทบรรยาย (Notation) รวมทั้งมุมกล้องให้เข้าใจก่อน
จึงจะสามารถเขียนสตอรี่บอร์ดได้
ศิลปะการเล่าเรื่อง ศิลปะการเล่าเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนิทาน นิยาย ละครหรือภาพยนตร์ ล้วนแต่มีรากฐานแบบเดียวกัน นั่นคือการเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของมนุษย์หรือสัตว์ หรือแม้แต่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ณ สถานที่ใดที่หนหนึ่งเสมอ ฉะนั้น องค์ประกอบที่สำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ตัวละคร สถานที่และเวลา สิ่งสำคัญในการเขียนบทหนังสั้นก็คือ การเริ่มค้นหาวัตถุดิบหรือแรงบันดาลใจ ให้ได้ว่า เราอยากจะพูด จะนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับอะไร ตัวเราเองมีแนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ อย่างไร ซึ่งแรงบันดาลใจในการเขียนบทที่เราสามารถนำมาใช้ในก็คือ ตัวละคร แนวความคิดและเหตุการณ์ ควรจะมองหาวัตถุดิบในการสร้างเรื่องให้แคบอยู่ในสิ่งที่เรารู้สึก รู้จริง เพราะคนทำหนังสั้นมักจะทำเรื่องที่ไกลตัว หรือไม่ก็ไกลเกินจนทำให้เราไม่สามารถจำกัดขอบเขตได้ การเขียนเรื่องสั้น การเขียนเรื่องสั้น ต้องให้กระชับ ตัวละครมีบทสนทนาไม่มาก เทคนิคการเขียนเรื่องสั้น มีดังนี้
การทำสตอรี่บอร์ด
การทำสตอรี่บอร์ดเป็นการสร้างตารางขึ้นมาเพื่อร่างภาพลงไปตามลำดับขั้นตอนของเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้ทุกๆฝ่ายสามารถมองเห็นภาพรวมของงานที่จะลงมือทำได้ล่วงหน้า ซึ่งหากมีข้อที่ต้องแก้ไขใดๆเกิดขึ้นก็สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ และทำสตอรี่บอร์ดใหม่ได้ การทำสตอรี่บอร์ดนั้นโดยหลักแล้ว จะเป็นต้นแบบของการนำไปสร้างภาพจริง และเป็นตัวกำหนดในการทำงานอื่นๆ ไปด้วยเช่น เสียงพากย์ เสียงดนตรี เสียงประกอบอื่นๆ special effect จึงเป็นการร่างภาพ พร้อมกับการระบุรายละเอียดที่จำเป็นต้องทำลงไป | ||||||||||
หลักการเขียนสตอรี่บอร์ด
| ||||||||||
รูปแบบของสตอรี่บอร์ด จะประกอบไปด้วย 2 ส่วนคือ
ส่วนเสียงกับส่วนภาพ โดยปกติการเขียนสตอรี่บอร์ด 24 เฟรม คือภาพ 24 ภาพ
เมื่อถ่ายทำเป็นภาพยนตร์ใช้เวลา 1 นาที ถ้าเป็นภาพยนตร์โฆษณา ในเวลา 30
วินาที ต้องเขียน 12 เฟรม การเขียนบทบรรยายจะเป็นส่วนสนับสนุนการนำเสนอภาพ
มิใช่การนำเสนอบทบรรยายนั้น ความยาวของคำบรรยายมีหลักการในการจัดทำ 3
ประการคือ
สำหรับรายการที่ใช้การบรรยายแบบ “Voice Over”
ควรมีภาพของผู้บรรยายปรากฏขึ้นในตอนเริ่มรายการก่อน
จะทำให้รายการดูเป็นกันเองมากขึ้น และถ้ารายการยาวมาก ควรให้ผู้บรรยายมากกว่า
1 คน จะทำให้ลดความเบื่อหน่ายจำเจของรายการลงได้
เสียงบรรยายไม่จำเป็นต้องมีอยู่ตลอด
ควรทิ้งช่วงโดยใช้ดนตรีและเสียงอื่นประกอบด้วย
สิ่งสำคัญที่อยู่ในสตอรี่บอร์ด
ประกอบด้วย
วิธีการเขียนสตอรี่บอร์ด สตอรี่บอร์ด (Story board) คือการเขียนกรอบแสดงเรื่องราวที่สมบูรณ์ของภาพยนตร์หรือหนังแต่ละเรื่อง โดยมีการแสดงรายละเอียดที่จะปรากฏในแต่ละฉากหรือแต่ละหน้าจอ เช่น ข้อความ ภาพ ภาพเคลื่อนไหว เสียงดนตรี เสียงพูดและแต่ละอย่างนั้นมีลำดับของการปรากฏ ว่าอะไรจะปรากฏขึ้นก่อน-หลัง อะไรจะปรากฏพร้อมกัน เป็นการออกแบบอย่างละเอียดในแต่ละหน้าจอก่อนที่จะลงมือสร้างเอนิเมชันหรือหนังขึ้นมาจริงๆ | ||||||||||
อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี., ทำอย่างไรให้ Story Board โดนใจกรรมการ [Online], 31 สิงหาคม 2553, แหล่งที่มา http://thailandanimation.aacp.co.th/th/StoryBoard.aspx | ||||||||||
ตัวอย่างการเตรียมเรื่อง/ บท
| ||||||||||
| ||||||||||
สิ่งแรกที่เราจะต้องทำในการสร้างภาพยนตร์
เรื่องที่เราทำจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ว่าเราจะนำเอาไปใช้ในโอกาสอะไร
เช่นอาจจะทำเพื่อฉายทางโทรทัศน์ หรือทางเว็ปไซต์
เนื้อเรื่องที่ดีควรตอบสนองวัตถุประสงค์นั้นๆซึ่งจะคำนึงถึงความสั้น-ยาว
ของเรื่องด้วย และเมื่อได้เนื้อเรื่องแล้ว ก็บันทึกไว้
แล้วเขียนออกมาเป็นบทภาพยนตร์ ซึ่งวิธีการเขียนบทภาพยนตร์มีหลายแบบ เช่น
การเขียนบทที่ใช้ในการทำแอนิเมชั่นเรื่อง สามหนูกับหนึ่งแมวแดงใหญ่
จะเป็นลักษณะที่ประยุกต์ขึ้นใช้ใหม่ เพราะเป็นหนังใบ้
คือตัวการ์ตูนไม่พูดอะไร
ดังนั้นตรงช่องลำดับเรื่องราวสามารถเปลี่ยนให้เป็นเสียงได้
| ||||||||||
การออกแบบตัวละคร
| ||||||||||
การออกแบบตัวละครเป็นขั้นตอนของสร้างตัวละครขึ้นมาตามเนื้อเรื่องที่เราสร้างขึ้น
โดยตัวละครใดๆก็ตาม
ถ้าระบายสีดำลงไปในตัวละครนั้นทั้งตัวซึ่งจะทำให้มองเห็นแต่โครงร่างเท่านั้น
หากตัวละครตัวนั้นดูโดดเด่นและมีบุคลิกที่สามารถจดจำได้ง่าย
นั่นละที่เรียกว่าตัวละครที่ดี
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงอีกมากมายเช่นความสวยงาม และสิ่งหนึ่งที่ทำเมื่อลงมือออกแบบสามหนูกับหนึ่งแมวแดงใหญ่คือ เรียบง่าย และมีบุคลิกภาพเฉพาะที่เป็นตัว นั่นเป็นเพราะเชื่อว่ามันจะช่วยทำให้ขั้นตอนการลงมือวาดจริงนั้นจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ และสำหรับภาพประกอบด้านบนคือสามหนูกับหนึ่งแมวแดงใหญ่ในร่างแรกก่อนที่จะพัฒนาขัดเกลาแบบจนได้ตัวจริง | ||||||||||
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6 การเขียนสตอรี่บอร์ด (Story
board)
| ||||||||||
กำหนดให้นักศึกษาเขียนแผนผังโครงเรื่องละครสั้น
หรือนิทานเรื่องสั้นจากการแนวความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง ไม่เกินคนละ 10
กรอบ/ เล่ม
โดยทำการเขียนรายละเอียดลงในแบบฟอร์มการเขียนสตอรี่บอร์ดที่กำหนดให้
แล้วจัดรูปแบบเป็นรูปเล่มแนวนอนหรือแนวตั้งก็ได้
อ้างอิง http://202.29.15.34/eduit/index.php?option=com_wrapper&view=wrapper&Itemid=17 |
วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
การเขียนสตอรี่บอร์ด (Story board)
วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
ศัพท์ทางเทคนิคกับการถ่ายทำและควบคุมกล้อง
ศัพท์ทางเทคนิคกับการถ่ายทำและควบคุมกล้อง
คำสั่งที่ใช้ :ใช้ออกคำสั่งว่า"Panright"ส่ายไปทางขวาหรือ"Panleft"ส่ายไปทางซ้ายบางที ผู้ผลิตอาจออกคำสั่งที่เจาะจงลงไปกว่านี้ก็ได้เช่นส่ายไปทางซ้ายเมื่อผู้ดำเนินรายการเดินไปที่โต๊ะก็ได้ การส่ายกล้องชนิดพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ การส่ายอย่างรวดเร็ว (SWISH หรือ WHIP) ช่วงระหว่างภาพที่ส่ายนั้นจะไม่ชัดมองเห็นเหมือนลำแสงบนจอวิธีการนี้เพื่อให้เกิดการต่อเนื่องของภาพนั่นเอง การส่ายกล้องควรคำนึงถึงจุดหมายปลายทางมิใช่ส่ายกล้องไปโดยมิรู้ว่าจะไปหยุด ณ ที่ใด ทำให้ภาพไม่มีประสิทธิภาพและไม่น่าสนใจ
TILT คือ การเคลื่อนไหวกล้อง และแท่นวางกล้องโดยวิธีการก้มหรือเงยกล้อง ส่วนขาตั้งกล้องยังคงที่
คำสั่งที่ใช้ : ใช้ออกคำสั่งว่า "Tilt up" เงยกล้องขึ้น หรือ "Tilt down" ก้มกล้องลง
PEDESTAL คือ การเคลื่อนไหวกล้องโดยการเปลี่ยนความสูงของขาตั้งคำสั่งที่ใช้ : ใช้ออกคำสั่งว่า "Pedestal up" หรือ "Ped up"เป็นการยกกล้องให้สูงขึ้น "Pedestal down" หรือ "Ped down" เป็นการลดกล้องให้ต่ำลง
การใช้ Pedestal upก็เหมือนกับการนั่งแล้วลุกขึ้นจะทำให้มุมของภาพที่มองนั้นเปลี่ยนไป
DOLLY คือ การเคลื่อนไหวกล้องโดยวิธีเคลื่อนที่เข้าหาหรือเคลื่อนที่ออกไปจาก วัตถุพร้อมขาตั้ง
คำสั่งที่ใช้ : ใช้คำว่า "Dolly in" เป็นการเคลื่อนกล้องเข้าหาวัตถุและ "Dolly out"เคลื่อนออกไปจากวัตถุการเคลื่อนที่ช้าหรือเร็วเพียงใดนั้นผู้ควบคุมรายการจะเป็นผู้ออกคำสั่ง
TRUCK คือการเคลื่อนไหวกล้องไปข้างซ้ายหรือขวาโดยทั้งขาตั้งและตัวกล้องเคลื่อนที่ไปด้วยกัน
คำสั่งที่ใช้ : ใช้คำว่า "Truck right" สำหรับการเคลื่อนไปทางขวาและ
"Truck left" สำหรับการเคลื่อนไปทางซ้ายการเคลื่อนที่ในลักษณะนี้ก็เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของผู้แสดงและเป็น การช่วยจัดภาพภายในกรอบให้ดีขึ้นนั่นเอง ลักษณะการเคลื่อนที่แบบนี้แตกต่างจากการส่ายกล้องPAN ที่เคลื่อนที่เฉพาะตัวกล้องและแท่นวางเท่านั้น
ARC คือ การเคลื่อนไหวกล้องโดยวิธี Dolly และ Truck แต่เป็นการเคลื่อนในลักษณะครึ่งวงกลม
คำสั่งที่ใช้ : ใช้คำว่า "Arc right" สำหรับการเคลื่อนไปทางขวามือ และ "Arc left" สำหรับการ เคลื่อนไปทางซ้ายมือ
CRANE คือ การเคลื่อนไหวกล้องโดยที่กล้องติดอยู่บนคันยกที่มีแขนยาวยื่นออกไป
คำสั่งที่ใช้ : ใช้คำว่า "Crane up" สำหรับการยกคันยกขึ้นและ "Crane down" สำหรับการยกคันยกลงบางทีใช้คำว่า "Boom up" และ "Boom down" แทนก็ได้ ถ้าหากมีการส่ายคันยกไปทางขวาจะใช้คำสั่งว่า "Tongue left" บางครั้งจำเป็นที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวกล้องในลักษณะต่างๆร่วมกันเพื่อให้ภาพมีประสิทธิภาพเช่น ในขณะที่ (Dolly in) อาจต้องลดกล้องให้ต่ำลง (Ped own) และการที่จะทำให้ภาพอยู่ในกรอบในขณะที่ลดต่ำลงจะต้องมีการส่ายไปทางซ้าย-ขวา (Pan) เล็กน้อยพร้อมกับเงยกล้อง (Tilt up) ด้วยจึงจะได้ภาพที่อยู่ในกรอบที่ต้องการ ดังนั้นผู้ควบคุมกล้องควรมีผู้ช่วยในการเคลื่อนขาตั้งส่วนผู้ควบคุมกล้องจะทำหน้าที่ส่ายก้มหรือเงย และควบคุมเลนส์ได้สะดวกขึ้นการมีผู้ช่วยจำเป็นต้อง มีการทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ จึงจะเกิดประสิทธิผลของการผลิตรายการ
Zoom คือการใช้การควบคุมที่ต้องการเปลี่ยนมุมการรับภาพของเลนส์ที่ต่อเนื่องกัน
คำสั่งที่ใช้ : ใช้คำว่า "Zoom in" หรือ "Zoom out" ใช้ "Zoom in" เมื่อต้องการดึงภาพเข้ามาใกล้ ๆ บางทีใช้คำว่า "Push in" และใช้คำว่า "Zoom out" เมื่อต้องการปล่อยมุมรับภาพให้กว้างออกไปบางทีใช้ "Pull out" การใช้ Zoomอย่างรวดเร็วนั้นเรียกว่า"SnapZoom"เพื่อทำให้น่าสนใจยิ่งขึ้นซึ่งไม่ควรจะใช้ บ่อยนัก
Focus คือ การปรับความคมชัดของภาพ คำสั่งที่ใช้ : ใช้คำว่า "Focus up"
Rack lens คือ การเปลี่ยนหรือหมุนเลนส์ที่อยู่บนจาน (Turret) ให้ตรงกับช่องเลนส์ที่ถ่ายภาพเพราะบนTurretจะมีเลนส์หลายตัว แต่ปัจจุบันนี้แบบนี้ไม่นิยมใช้แล้ว
คำสั่งที่ใช้ : ใช้คำว่า "Rack lens" หรือ "Flip lens" ซึ่งปกติจะบอกจำเพาะเจาะจงลงไป ว่า Rack lens ชนิดใด
อ้างอิง http://www.gotoknow.org/blogs/posts/19758
คำศัพท์ทางภาพยนตร์ที่ควรรู้
คำศัพท์ทางภาพยนตร์ที่ควรรู้
คำศัพท์ทางภาพยนตร์ที่ควรรู้
Action - คำสั่งของผู้กำกับการแสดง ให้นักแสดงเริ่มแสดงตามคิว หลังจากที่สั่งใกล้ช่างภาพเดินกล้องแล้ว*
Angle - มุมกล้อง หมายถึงทิศทางหรือมุมกล้องที่กล้องทำมุมสัมพันธ์กับวัตถุที่ถ่าย
Dutch Angle - มุมเอียง การตั้งกล้องมุมนี้เป็นการแสดงภาพแทนความรู้สึกของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง หรือการสร้างบรรยากาศให้มีความรู้สึก เวิ้งว้าง วังเวง พิกล ผิดอาเพศ
Eye level Angle - มุมระดับสายตา กล้องจะตั้งอยู่ในระดับสายตาของมนุษย์ ภาพที่ถูกบันทึกจะให้ความรู้สึกเป็นกันเอง เรียบง่าย กับคนดู และเหมือนกับการดึงคนดูเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ มุมภาพในระดับนี้จะทำให้เราได้เห็น
รายละเอียดเพียงด้านเดียวเนื่องจากล้องจะตั้งในระดับเดียวกันกับวัตถุที่ถ่าย
High Angle - มุมสูง หรือ มุมก้ม กล้งจะตั้งอยู่สูงกว่าวัตถุ เวลาถ่ายต้องกดหน้ากล้องลงมาเล็กน้อยเพื่อที่จะถ่ายวัตถุที่อยู่ต่ำกว่า ภาพในมุมนี้จะทำให้คนดูเห็นว่าวัตถุที่ถ่ายนั้นต่ำต้อย ด้อยค่า ไร้ความหมาย ตกต่ำ สิ้นหวัง แพ้พ่าย
และถ้าหากเป็นภาพยนตร์ที่ใช้มุม ล้องเล่นกับคนดูด้วยแล้ว จะทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ สูงส่ง เป็นผู้ควบคุมสิ่งที่ปรากฎอยู่ในภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะตรงกันข้ามกับ Low Angle
Low Angle - มุมต่ำ หรือ มุมเงย กล้องจะตั้งอยู่ต่ำกว่าวัตถุแล้วเงยหน้ากล้องขึ้นมาเพื่อถ่ายวัตถุที่อยู่ สูงกว่า ทั้งนี้บางครั้งนิยมถ่ายภาพเพื่อเน้นส่วนสำคัญหรือสร้างจุดสนใจให้กับวัตถุ ที่ถ่าย เมื่อคนดูเห็นภาพในมุมนี้จะทำให้รู้สึกว่าวัตถุที่ถ่ายนั้นสูงส่ง มีค่า ยิ่งใหญ่ อลังการ โอ่อ่า น่าเกรงขาม ในขนะเดียวกันก็จะทำให้คนดูรูสึกว่าตัวเองนั้นต่ำต้อยกว่าวัตถุนั้นๆ นิยมถ่ายโบราณสถาน สถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ เพื่อทำให้รู้สึกว่าสถานที่แห่งนั้นยิ่งใหญ่
สูงค่า น่าเกรงขาม
Subjective - มุมแทนสายตาตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งมุมจะเปลี่ยนไปตามอิริยาบทของตัวละครที่กล้องแทนสายตาอยู่ ไม่ว่าจะเดิน นั่งนอน
Boom - อุปกรณ์ที่ไว้สำหรับแขวนไมค์โครโฟน มีลักษณะเป็นแท่งยาวๆสามารถเคลื่อนย้ายได้ ที่ด้านปลายจะมีไมค์โครโฟนติดอยู่ไว้สำหรับบันทึกเสียงระหว่างการถ่ายทำ
Crane - ปั้นจั่นขนาดใหญ่ที่มีได้สำหรับติดตั้งกล้องภาพยนตร์ เพื่อนไว้ถ่ายภาพมุมสูง
Dolly - พาหนะที่มีล้อเลื่อนได้ สำหรับตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพในช็อตประเภท dolly shot, track หรือ truck
Slate - บอร์ดแสดงข้อมูลการถ่ายทำในแต่ละช็อต ซึ่งจะมีข้อมูลของช็อตนั้นที่กำลังจะถ่ายเช่น ชื่อภาพยนตร์ ฉาก ช็อต เทคที่เท่าไรชื่อผู้กำกับ ช่างภาพ ถ่ายกลางวันหรือกลางคืน ภายนอกหรือภายใน ฟิล์มม้วนที่เท่าไร วันที่ถ่าย เป็นต้น ซึ่งก่อนการถ่ายผู้กำกับต้องสั่งให้ทีมงานนำ Slate เข้ามาโชว์ที่หน้ากล้องเพื่อบันทึกว่าสิ่งที่กำลังจะถ่ายต่อไปนี้คืออะไร เพื่อเป็นประโยชน์ตอนตัดต่อ
Pan - คือการหันกล้องระหว่างที่มีการถ่ายทำจากซ้ายไปขวา หรือจากขวาไปซ้าย หากเราต้องการเน้นสิ่งใดให้แพนมาหยุดที่สิ่งนั้นเป็นส่งสุดท้าย
เช่น "แพนจากภาพเด็กที่กำลังยืนมองตั้งหนังสือการตูนเรื่องโปรดที่สะสมมาตั้งแต่ เด็ก ที่มีมากมายมหาศาล แพนไปหาชั้นวางหนังสือที่มีที่ว่างพอสำหรับหนังสือไม่กี่สิบเล่ม" เป็นต้น เท่านี้คนดูก็อาจเข้าใจได้ว่าเด็กคนนี้กำลังประสบปัญหาไม่มีที่เก็บหนังสือ การ์ตูนของตัวเองแม้จะไม่มีบทพูดใดๆให้คนดูได้ทราบาก่อนเลยก็ตาม ในช็อตนี้ภาพยนตร์กำลังสื่อว่าต้องการเน้นที่ชั้นวางหนังสือ เพราะแพนมาสิ้นสุดที่ชั้นว่าง
Tilt - คือการกดกล้องลงหรือเงยขึ้นระหว่างที่ถ่ายทำ (ลักษณะจะคล้าย pan แต่เปลี่ยนจากซ้าย-ขวา เป็นบน-ล่าง) การสื่อความหมายจะคล้ายกับ pan
คือ ต้องการเน้นสิ่งใดก็ให้ Tilt ไปหยุดที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งสุดท้าย เช่น "กล้องแทนสายตาของฝ่ายชายที่กำลังตะลึงกับครั้งแรกที่เจอสาวสวย
จนถึง ขนาดต้องกวาดสายตาตั้งแต่ปลายเท้าของฝ่ายหญิง เรื่อยขึ้นมาจนถึงใบหน้า ( กล้องจะ tilt up )จนลืมไปว่าเป็นการเสียมารยาท" เป็นต้น
ในลักษณะนี้จะเป็นการเน้นที่หน้าของฝ่ายหญิงมากกว่าเรือนร่าง
Cue - (อ่านว่า "คิว") เป็นสัญญาณบอกนักแสดงให้เริ่มแสดง ส่วนใหญ่จะเป็น cue ที่ 2 เป็นต้นไป เพราะcue แรกเป็นการสั่ง action ของผู้กำกับอยู่แล้ว
เช่น "เมื่อผู้กำกับสั่ง action นักศึกษาในห้องก็เริ่มเล่นกันคุยกันระหว่างรออาจารย์มาสอน จากนั้นผู้กำกับก็จะให้ cue กับนักแสดงที่รับบทเป็นอาจารย์
เดินเข้ามา" เป็นต้น ซึ่งสัญญาณนี้จะเป็นอะไรก็ได้ตามแต่จะตกลงกัน
Shot - เป็นการบันทึกภาพในแต่ละครั้ง กล่าวคือ เริ่มกดปุ่มบันทึกภาพหนึ่งครั้งและกดปุ่มหยุดบันทึกอีกหนึ่งครั้ง นับเป็น 1 shot
Cut - เป็นการสั่งของผู้กำกับเพื่อให้หยุดการบันทึกของช็อตนั้น ซึ่งทีมงานในกองถ่ายอีกคนหนึ่งที่สามารถสั่งได้ นั้นก็คือคนที่ทำหน้าที่ Continuity
Cut-Away - ช็อตเหตุการณ์ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินเรื่องหลักอยู่ เช่น "เจ้านายกำลังขับรถเลี้ยวเข้าบ้าน ตัดภาพเป็น cut-away ที่ภาพคนรับใช้
ที่กำลังออกมารอต้อนรับ" เป็นต้น
Cut-In - ภาพระยะใกล้ (insert) ของเหตุการ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น "ภาพระดับสายตาคนกำลังพายเรืออยู่ในคลองแถวบ้าน และตัดเป็นภาพ cut-in ไปที่
ไม้พายที่กำลังแหวกน้ำ" เป็นต้น
Continuity - ตำแหน่งผู้ควบคุมความต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะนิยมให้ผู้หญิงทำหน้าที่นี้ เนื่องจากต้องใช้ความรอบคอบและความช่างสังเกตุสูง หน้าที่คือ
ควบคุมความต่อเนื่องระหว่างช็อตแต่ละช็อต เป็นต้นว่า ช็อตแรกถ่ายคนกำลังเปิดประตูจากด้านนอกด้วยมือขวา เมื่อคัทช็อตมาถ่ายด้านใน
ตอนเปิดประตูเข้ามาแล้วก็ต้องเป็นมือขวาที่กำลังกำลูกบิดประตูอยู่
Script - บทภาพยนตร์ที่ใช้สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ อาจจะเขียนขึ้นมาใหม่หรือดัดแปลงมาจากวรรณกรรม นวนิยาย เรื่องสั้น ก็ได้ การเขียนบทภาพยนตร์
มีขั้นตอนดังนี้
-Theme -แก่นของเรื่อง
Synopsis - แนวความคิดหลัก และโครงสร้างของภาพยนตร์แบบกระชับ
Plot - การวางโครงเรื่องหลักๆ
Treatment - เป็นการขยายเรื่อง (Plot) ตั้งแต่ต้นจนจบอกมาในลักษณะความเรียง
Screenplay - บทภาพยนตร์สำหรับนักแสดงเอาไว้อ่าน ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวสถานที่ วัน เวลา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละฉาก พร้อมบทสนทนา
Storybord - ภาพประกอบเหตุการณ์ในแต่ละช็อต เพื่อให้การถ่ายทำได้เห็นภาพเป็นรูปธรรมมากที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้ทีมงานทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน
Shooting Script - เป็นบทถ่ายภาพยนตร์สำหรับทีมงาน ซึ่งจะมีข้อมูลทางเทคนิค การวางตำแหน่งกล้อง การเคลื่อนกล้อง ขนาดภาพ มุมภาพ
เป็นศัพท์และคำย่อเฉพาะทางด้านภาพยนตร์ทั้งสิ้น จึงเหมาะสำหรับทีมงานของกองถ่ายนั้นๆ หรือผู้ที่ศึกษามาทางภาพยนตร์โดยเฉพาะ
Break Down Script - การแตกบทภาพยนตร์ออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการถ่ายทำ เพราะไม่จำเป็นต้องถ่ายเรียงทีละฉากตามที่ระบุไว้ใน Script
และนำมาตัดต่อภายหลัง หรือเรียกอีกอย่างว่า การเจาะถ่าย
Action - คำสั่งของผู้กำกับการแสดง ให้นักแสดงเริ่มแสดงตามคิว หลังจากที่สั่งใกล้ช่างภาพเดินกล้องแล้ว*
Angle - มุมกล้อง หมายถึงทิศทางหรือมุมกล้องที่กล้องทำมุมสัมพันธ์กับวัตถุที่ถ่าย
Dutch Angle - มุมเอียง การตั้งกล้องมุมนี้เป็นการแสดงภาพแทนความรู้สึกของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง หรือการสร้างบรรยากาศให้มีความรู้สึก เวิ้งว้าง วังเวง พิกล ผิดอาเพศ
Eye level Angle - มุมระดับสายตา กล้องจะตั้งอยู่ในระดับสายตาของมนุษย์ ภาพที่ถูกบันทึกจะให้ความรู้สึกเป็นกันเอง เรียบง่าย กับคนดู และเหมือนกับการดึงคนดูเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ มุมภาพในระดับนี้จะทำให้เราได้เห็น
รายละเอียดเพียงด้านเดียวเนื่องจากล้องจะตั้งในระดับเดียวกันกับวัตถุที่ถ่าย
High Angle - มุมสูง หรือ มุมก้ม กล้งจะตั้งอยู่สูงกว่าวัตถุ เวลาถ่ายต้องกดหน้ากล้องลงมาเล็กน้อยเพื่อที่จะถ่ายวัตถุที่อยู่ต่ำกว่า ภาพในมุมนี้จะทำให้คนดูเห็นว่าวัตถุที่ถ่ายนั้นต่ำต้อย ด้อยค่า ไร้ความหมาย ตกต่ำ สิ้นหวัง แพ้พ่าย
และถ้าหากเป็นภาพยนตร์ที่ใช้มุม ล้องเล่นกับคนดูด้วยแล้ว จะทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ สูงส่ง เป็นผู้ควบคุมสิ่งที่ปรากฎอยู่ในภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะตรงกันข้ามกับ Low Angle
Low Angle - มุมต่ำ หรือ มุมเงย กล้องจะตั้งอยู่ต่ำกว่าวัตถุแล้วเงยหน้ากล้องขึ้นมาเพื่อถ่ายวัตถุที่อยู่ สูงกว่า ทั้งนี้บางครั้งนิยมถ่ายภาพเพื่อเน้นส่วนสำคัญหรือสร้างจุดสนใจให้กับวัตถุ ที่ถ่าย เมื่อคนดูเห็นภาพในมุมนี้จะทำให้รู้สึกว่าวัตถุที่ถ่ายนั้นสูงส่ง มีค่า ยิ่งใหญ่ อลังการ โอ่อ่า น่าเกรงขาม ในขนะเดียวกันก็จะทำให้คนดูรูสึกว่าตัวเองนั้นต่ำต้อยกว่าวัตถุนั้นๆ นิยมถ่ายโบราณสถาน สถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ เพื่อทำให้รู้สึกว่าสถานที่แห่งนั้นยิ่งใหญ่
สูงค่า น่าเกรงขาม
Subjective - มุมแทนสายตาตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งมุมจะเปลี่ยนไปตามอิริยาบทของตัวละครที่กล้องแทนสายตาอยู่ ไม่ว่าจะเดิน นั่งนอน
Boom - อุปกรณ์ที่ไว้สำหรับแขวนไมค์โครโฟน มีลักษณะเป็นแท่งยาวๆสามารถเคลื่อนย้ายได้ ที่ด้านปลายจะมีไมค์โครโฟนติดอยู่ไว้สำหรับบันทึกเสียงระหว่างการถ่ายทำ
Crane - ปั้นจั่นขนาดใหญ่ที่มีได้สำหรับติดตั้งกล้องภาพยนตร์ เพื่อนไว้ถ่ายภาพมุมสูง
Dolly - พาหนะที่มีล้อเลื่อนได้ สำหรับตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพในช็อตประเภท dolly shot, track หรือ truck
Slate - บอร์ดแสดงข้อมูลการถ่ายทำในแต่ละช็อต ซึ่งจะมีข้อมูลของช็อตนั้นที่กำลังจะถ่ายเช่น ชื่อภาพยนตร์ ฉาก ช็อต เทคที่เท่าไรชื่อผู้กำกับ ช่างภาพ ถ่ายกลางวันหรือกลางคืน ภายนอกหรือภายใน ฟิล์มม้วนที่เท่าไร วันที่ถ่าย เป็นต้น ซึ่งก่อนการถ่ายผู้กำกับต้องสั่งให้ทีมงานนำ Slate เข้ามาโชว์ที่หน้ากล้องเพื่อบันทึกว่าสิ่งที่กำลังจะถ่ายต่อไปนี้คืออะไร เพื่อเป็นประโยชน์ตอนตัดต่อ
Pan - คือการหันกล้องระหว่างที่มีการถ่ายทำจากซ้ายไปขวา หรือจากขวาไปซ้าย หากเราต้องการเน้นสิ่งใดให้แพนมาหยุดที่สิ่งนั้นเป็นส่งสุดท้าย
เช่น "แพนจากภาพเด็กที่กำลังยืนมองตั้งหนังสือการตูนเรื่องโปรดที่สะสมมาตั้งแต่ เด็ก ที่มีมากมายมหาศาล แพนไปหาชั้นวางหนังสือที่มีที่ว่างพอสำหรับหนังสือไม่กี่สิบเล่ม" เป็นต้น เท่านี้คนดูก็อาจเข้าใจได้ว่าเด็กคนนี้กำลังประสบปัญหาไม่มีที่เก็บหนังสือ การ์ตูนของตัวเองแม้จะไม่มีบทพูดใดๆให้คนดูได้ทราบาก่อนเลยก็ตาม ในช็อตนี้ภาพยนตร์กำลังสื่อว่าต้องการเน้นที่ชั้นวางหนังสือ เพราะแพนมาสิ้นสุดที่ชั้นว่าง
Tilt - คือการกดกล้องลงหรือเงยขึ้นระหว่างที่ถ่ายทำ (ลักษณะจะคล้าย pan แต่เปลี่ยนจากซ้าย-ขวา เป็นบน-ล่าง) การสื่อความหมายจะคล้ายกับ pan
คือ ต้องการเน้นสิ่งใดก็ให้ Tilt ไปหยุดที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งสุดท้าย เช่น "กล้องแทนสายตาของฝ่ายชายที่กำลังตะลึงกับครั้งแรกที่เจอสาวสวย
จนถึง ขนาดต้องกวาดสายตาตั้งแต่ปลายเท้าของฝ่ายหญิง เรื่อยขึ้นมาจนถึงใบหน้า ( กล้องจะ tilt up )จนลืมไปว่าเป็นการเสียมารยาท" เป็นต้น
ในลักษณะนี้จะเป็นการเน้นที่หน้าของฝ่ายหญิงมากกว่าเรือนร่าง
Cue - (อ่านว่า "คิว") เป็นสัญญาณบอกนักแสดงให้เริ่มแสดง ส่วนใหญ่จะเป็น cue ที่ 2 เป็นต้นไป เพราะcue แรกเป็นการสั่ง action ของผู้กำกับอยู่แล้ว
เช่น "เมื่อผู้กำกับสั่ง action นักศึกษาในห้องก็เริ่มเล่นกันคุยกันระหว่างรออาจารย์มาสอน จากนั้นผู้กำกับก็จะให้ cue กับนักแสดงที่รับบทเป็นอาจารย์
เดินเข้ามา" เป็นต้น ซึ่งสัญญาณนี้จะเป็นอะไรก็ได้ตามแต่จะตกลงกัน
Shot - เป็นการบันทึกภาพในแต่ละครั้ง กล่าวคือ เริ่มกดปุ่มบันทึกภาพหนึ่งครั้งและกดปุ่มหยุดบันทึกอีกหนึ่งครั้ง นับเป็น 1 shot
Cut - เป็นการสั่งของผู้กำกับเพื่อให้หยุดการบันทึกของช็อตนั้น ซึ่งทีมงานในกองถ่ายอีกคนหนึ่งที่สามารถสั่งได้ นั้นก็คือคนที่ทำหน้าที่ Continuity
Cut-Away - ช็อตเหตุการณ์ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินเรื่องหลักอยู่ เช่น "เจ้านายกำลังขับรถเลี้ยวเข้าบ้าน ตัดภาพเป็น cut-away ที่ภาพคนรับใช้
ที่กำลังออกมารอต้อนรับ" เป็นต้น
Cut-In - ภาพระยะใกล้ (insert) ของเหตุการ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น "ภาพระดับสายตาคนกำลังพายเรืออยู่ในคลองแถวบ้าน และตัดเป็นภาพ cut-in ไปที่
ไม้พายที่กำลังแหวกน้ำ" เป็นต้น
Continuity - ตำแหน่งผู้ควบคุมความต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะนิยมให้ผู้หญิงทำหน้าที่นี้ เนื่องจากต้องใช้ความรอบคอบและความช่างสังเกตุสูง หน้าที่คือ
ควบคุมความต่อเนื่องระหว่างช็อตแต่ละช็อต เป็นต้นว่า ช็อตแรกถ่ายคนกำลังเปิดประตูจากด้านนอกด้วยมือขวา เมื่อคัทช็อตมาถ่ายด้านใน
ตอนเปิดประตูเข้ามาแล้วก็ต้องเป็นมือขวาที่กำลังกำลูกบิดประตูอยู่
Script - บทภาพยนตร์ที่ใช้สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ อาจจะเขียนขึ้นมาใหม่หรือดัดแปลงมาจากวรรณกรรม นวนิยาย เรื่องสั้น ก็ได้ การเขียนบทภาพยนตร์
มีขั้นตอนดังนี้
-Theme -แก่นของเรื่อง
Synopsis - แนวความคิดหลัก และโครงสร้างของภาพยนตร์แบบกระชับ
Plot - การวางโครงเรื่องหลักๆ
Treatment - เป็นการขยายเรื่อง (Plot) ตั้งแต่ต้นจนจบอกมาในลักษณะความเรียง
Screenplay - บทภาพยนตร์สำหรับนักแสดงเอาไว้อ่าน ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวสถานที่ วัน เวลา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละฉาก พร้อมบทสนทนา
Storybord - ภาพประกอบเหตุการณ์ในแต่ละช็อต เพื่อให้การถ่ายทำได้เห็นภาพเป็นรูปธรรมมากที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้ทีมงานทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน
Shooting Script - เป็นบทถ่ายภาพยนตร์สำหรับทีมงาน ซึ่งจะมีข้อมูลทางเทคนิค การวางตำแหน่งกล้อง การเคลื่อนกล้อง ขนาดภาพ มุมภาพ
เป็นศัพท์และคำย่อเฉพาะทางด้านภาพยนตร์ทั้งสิ้น จึงเหมาะสำหรับทีมงานของกองถ่ายนั้นๆ หรือผู้ที่ศึกษามาทางภาพยนตร์โดยเฉพาะ
Break Down Script - การแตกบทภาพยนตร์ออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการถ่ายทำ เพราะไม่จำเป็นต้องถ่ายเรียงทีละฉากตามที่ระบุไว้ใน Script
และนำมาตัดต่อภายหลัง หรือเรียกอีกอย่างว่า การเจาะถ่าย
หมาย
เหตุ *ในการถ่ายทำภาพยนตร์แต่ละช็อตนั้น ก่อนที่ผู้กำกับจะสั่ง Action
ผู้กำกับจะเช็คความพร้อมของนักแสดงและทีมงานก่อนเมื่อทุกอย่างพร้อม
ผูกำกับจะสั่งให้ผู้ควบคุมเทปเดินเทป และช่างภาพเดินกล้อง
จากนั้นจะสั่งให้Slate Man นำSlate มามาร์คที่หน้ากล้อง เสร็จแล้วจึงสั่ง
Action
ศัพท์เทคนิคทางโทรทัศน์
ศัพท์เทคนิคทางโทรทัศน์
Action – คำสั่งของผู้กำกับการแสดง ให้นักแสดงเริ่มแสดงตามคิว หลังจากที่สั่งใกล้ช่างภาพเดินกล้องแล้ว*
Angle – มุมกล้อง หมายถึงทิศทางหรือมุมกล้องที่กล้องทำมุมสัมพันธ์กับวัตถุที่ถ่าย
Art House : โรงภาพยนตร์ขนาดเล็กที่มีการจัดฉายภาพยนตร์ให้กับกลุ่มผู้ชมเฉพาะกลุ่มที่ เป็นคอหนังหรือแฟนหนัง (แฟนพันธุ์แท้หนังอาร์ต) จริงๆ เช่น ผู้ชมที่สนใจหนังในเชิงศิลปะมากกว่าความบันเทิง หรือสนใจผลงานของผู้กำกับมากกว่าตัวดารา ภาพยนตร์ที่จัดฉายจะเป็นภาพยนตร์ที่มีแนวคิดแอบแฝง อาจมีรางวัลจากการประกวดก็ได้ จนไปถึงภาพยนตร์เชิงทดลอง หรือผิดแผกแตกต่างจากภาพยนตร์ทั่วไป จนบางครั้งคนทั่วไปขนานนามว่า “ภาพยนตร์ที่ต้องปีนบันไดดู”
Black Comedy : ละคร นิยาย หรือภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่มีลักษณะตลกร้ายเฉพาะตัว นำเสนอออกมาในลักษณะเสียดสี ประชด แดกดัน เช่น ตลกแนววิตถาร เครียด ขมขื่น มองโลกในแง่ร้าย หรือเจ็บปวด
Break Down Script – การแตกบทภาพยนตร์ออกเป็นหมวดหมู่ เพื่อสะดวกในการถ่ายทำ เพราะไม่จำเป็นต้องถ่ายเรียงทีละฉากตามที่ระบุไว้ใน Scriptและนำมา ตัดต่อภายหลัง หรือเรียกอีกอย่างว่า การเจาะถ่าย
Boom – อุปกรณ์ที่ไว้สำหรับแขวนไมค์โครโฟน มีลักษณะเป็นแท่งยาวๆสามารถเคลื่อนย้ายได้ ที่ด้านปลายจะมีไมค์โครโฟนติดอยู่ไว้สำหรับบันทึกเสียงระหว่าง การถ่ายทำ
Cinch Marks : รอยขีดข่วนเป็นทางยาวแนวดิ่งบนแผ่นฟิล์มซึ่งเกิดจากดึงฟิล์มตึงเกินไปขณะพัน รอบม้วน ทำให้เนื้อฟิล์มสัมผัสเสียดสีกับแกนยึดฟิล์มเวลาฉาย รอยจะเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนครั้งที่ใช้งาน มักพบเห็นบนภาพยนตร์ของขบวนหนังเร่ หรือหนังกลางแปลงที่ชาวบ้านเรียกกันว่า “รอยสายฝน” หรือ “หนังฝนตก” เป็นต้น
Continuity – ตำแหน่งผู้ควบคุมความต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะนิยมให้ผู้หญิงทำหน้าที่นี้ เนื่องจากต้องใช้ความรอบคอบและความช่างสังเกตุสูง
Crane – ปั้นจั่นขนาดใหญ่ที่มีได้สำหรับติดตั้งกล้องภาพยนตร์ เพื่อนไว้ถ่ายภาพมุมสูง
Cue – (อ่านว่า “คิว”) เป็นสัญญาณบอกนักแสดงให้เริ่มแสดง ส่วนใหญ่จะเป็น cue ที่ 2 เป็นต้นไป เพราะcue แรกเป็นการสั่ง action ของผู้กำกับอยู่แล้วเช่น “เมื่อผู้กำกับสั่ง action นักศึกษาในห้องก็เริ่มเล่นกันคุยกันระหว่างรออาจารย์มาสอน จากนั้นผู้กำกับก็จะให้ cue กับนักแสดงที่รับบทเป็นอาจารย์เดินเข้า มา” เป็นต้น ซึ่งสัญญาณนี้จะเป็นอะไรก็ได้ตามแต่จะตกลงกัน
Cut – เป็นการสั่งของผู้กำกับเพื่อให้หยุดการบันทึกของช็อตนั้น ซึ่งทีมงานในกองถ่ายอีกคนหนึ่งที่สามารถสั่งได้ นั้นก็คือคนที่ทำหน้าที่ Continuity
Cut-Away – ช็อตเหตุการณ์ใกล้เคียงกับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินเรื่องหลักอยู่ เช่น “เจ้านายกำลังขับรถเลี้ยวเข้าบ้าน ตัดภาพเป็น cut-away ที่ภาพคนรับใช้ที่ กำลังออกมารอต้อนรับ” เป็นต้น
Cut-In – ภาพระยะใกล้ (insert) ของเหตุการ์ที่กำลังดำเนินอยู่ เช่น “ภาพระดับสายตาคนกำลังพายเรืออยู่ในคลองแถวบ้าน และตัดเป็นภาพ cut-in ไปที่ไม้พายที่กำลังแหวกน้ำ” เป็นต้น
Day for Night Shooting : ฉากที่ถ่ายทำในเวลากลางวัน แต่ให้ภาพออกมาเหมือนกับฉากตอนกลางคืน สามารถทำได้โดยใช้ฟิลเตอร์พิเศษใส่หน้ากล้องขณะถ่ายทำ หรือสามารถทำในห้องแล็ปโดยใช้เทคนิคพิเศษ
Dolly – พาหนะที่มีล้อเลื่อนได้ สำหรับตั้งกล้องเพื่อถ่ายภาพในช็อตประเภท dolly shot, track หรือ truck
Dutch Angle – มุมเอียง การตั้งกล้องมุมนี้เป็นการแสดงภาพแทนความรู้สึกของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง หรือการสร้างบรรยากาศให้มีความรู้สึก เวิ้งว้าง วังเวง พิกล ผิดอาเพศ
Extra : ตัวประกอบ เป็นนักแสดงที่จ้างเป็นรายวัน เพื่อรับบทเล็กๆ น้อยๆ ตัวประกอบจะไม่มีบทพูด หรือส่งเสียงโต้ตอบใดๆ ทั้งสิ้น มักเป็นตัวประกอบในฉากยกทัพในสนามรบ หรือผู้คนมากมายในงานเลี้ยงสังสรรค์ หรือเดินผ่านไปมาเพื่อบรรยากาศพุกพ่ามของผู้คนในสวนสาธารณะ
Eye level Angle – มุมระดับสายตา กล้องจะตั้งอยู่ในระดับสายตาของมนุษย์ ภาพที่ถูกบันทึกจะให้ความรู้สึกเป็นกันเอง เรียบง่าย กับคนดู และเหมือนกับการดึงคนดูเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ มุมภาพในระดับนี้จะทำให้เราได้เห็นรายละเอียดเพียงด้านเดียวเนื่องจา กล้องจะตั้งในระดับเดียวกันกับวัตถุที่ถ่าย
Film : แผ่นเซลลูลอยด์บางๆ ฉาบด้วยสารไวแสง สามารถบันทึกภาพได้ มีรูหนามเตยที่ขอบเพื่อช่วยในการ Load ฟิล์ม ใช้ในงานถ่ายภาพนิ่ง และภาพยนตร์ ฟิล์มมีหลายประเภทและขนาดความไวแสงตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น ฟิล์ม Day light สำหรับงานถ่ายภาพกลางวัน, ฟิล์ม Tungsten สำหรับถ่ายกลางคืน ช่วยตัดแสงสีเหลืองจากหลอดไฟ หากนำมาถ่ายในตอนกลางวันจะได้ภาพสีอมฟ้า เป็นต้น
Flash Cut : การตัดมีแสงสว่างแวบ เป็นการตัดต่อภาพเพื่อสร้างรู้สึกทางอารมณ์ หรือเพื่อแสดงความไม่ต่อเนื่องของช่วงเวลา เพื่อย้อยสู่อดีตหรือไปสู่อนาคต
Footage : ฟิล์มภาพยนตร์ช่วงหนึ่ง หรือตอนหนึ่ง ที่มีความยาววัดเป็นฟุต เช่น Footage ทั้งหมดของภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำที่เมืองไทย
Grips : ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบการซ่อมแซม บำรุง รักษา และดัดแปลงอุปกรณ์ฉากที่ใช้แล้ว ให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีกหลายๆ ครั้ง เพราะส่วนมากฉากบางฉากนั้นไม่ได้ถ่ายเสร็จภายในครั้งเดียว อาจจะใช้ทั้งเรื่องก็ได้
High Angle – มุมสูง หรือ มุมก้ม กล้งจะตั้งอยู่สูงกว่าวัตถุ เวลาถ่ายต้องกดหน้ากล้องลงมาเล็กน้อยเพื่อที่จะถ่ายวัตถุที่อยู่ต่ำกว่า ภาพในมุมนี้จะทำให้คนดูเห็นว่าวัตถุที่ถ่ายนั้นต่ำต้อย ด้อยค่า ไร้ความหมาย ตกต่ำ สิ้นหวัง แพ้พ่ายและถ้าหากเป็นภาพยนตร์ที่ใช้มุม ล้องเล่นกับคนดูด้วยแล้ว จะทำให้คนดูรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจ สูงส่ง เป็นผู้ควบคุมสิ่งที่ปรากฎอยู่ในภาพ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็จะตรงกันข้ามกับ Low Angle
Jump Cut : การเปลี่ยนช็อตอย่างฉับพลันโดยการตัดภาพ ให้ผลในด้านความไม่ต่อเนื่องของเวลา และสถานที่ ทำให้เนื้อเรื่องกระโดดไปกระโดดมา
Low Angle – มุมต่ำ หรือ มุมเงย กล้องจะตั้งอยู่ต่ำกว่าวัตถุแล้วเงยหน้ากล้องขึ้นมาเพื่อถ่ายวัตถุที่อยู่ สูงกว่า ทั้งนี้บางครั้งนิยมถ่ายภาพเพื่อเน้นส่วนสำคัญหรือสร้างจุดสนใจให้กับวัตถุ ที่ถ่าย เมื่อคนดูเห็นภาพในมุมนี้จะทำให้รู้สึกว่าวัตถุที่ถ่ายนั้นสูงส่ง มีค่า ยิ่งใหญ่ อลังการ โอ่อ่า น่าเกรงขาม ในขนะเดียวกันก็จะทำให้คนดูรูสึกว่าตัวเองนั้นต่ำต้อยกว่าวัตถุนั้นๆ นิยมถ่ายโบราณสถาน สถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ เพื่อทำให้รู้สึกว่าสถานที่แห่งนั้นยิ่งใหญ่สูงค่า น่าเกรงขาม
Pan – คือการหันกล้องระหว่างที่มีการถ่ายทำจากซ้ายไปขวา หรือจากขวาไปซ้าย หากเราต้องการเน้นสิ่งใดให้แพนมาหยุดที่สิ่งนั้นเป็นส่งสุดท้ายเช่น “แพนจากภาพเด็กที่กำลังยืนมองตั้งหนังสือการตูนเรื่องโปรดที่สะสมมาตั้งแต่ เด็ก ที่มีมากมายมหาศาล แพนไปหาชั้นวางหนังสือที่มีที่ว่างพอสำหรับหนังสือไม่กี่สิบเล่ม” เป็นต้น เท่านี้คนดูก็อาจเข้าใจได้ว่าเด็กคนนี้กำลังประสบปัญหาไม่มีที่เก็บหนังสือ การ์ตูนของตัวเองแม้จะไม่มีบทพูดใดๆให้คนดูได้ทราบาก่อนเลยก็ตาม ในช็อตนี้ภาพยนตร์กำลังสื่อว่าต้องการเน้นที่ชั้นวางหนังสือ เพราะแพนมาสิ้นสุดที่ชั้นว่าง
Plot – การวางโครงเรื่องหลักๆ
Props : วัสดุ หรืออุปกรณ์ประกอบฉากในการถ่ายทำ บางครั้งอาจมีอยู่ในฉากแต่ไม่ได้ถูกถ่ายในเฟรมก็ได้ แต่จะจัดหามาเพื่อบรรยากาศของการแสดง เพื่อสื่อให้คนดูรู้สึกว่ามีสิ่งนั้นอยู่จริงๆ ทั้งทีไม่ได้ปรากฏบนแผ่นฟิล์มเลย ผู้กำกับบางคนชอบใช้วิธีนี้ในการคุมอารมณ์ของหนัง คำว่า Props ย่อมาจากคำว่า Properties
Scene : ฉากๆ หนึ่งในภาพยนตร์ เป็นหน่วยย่อยรองมาจาก Sequence (ตอนๆ หนึ่ง) ซึ่งประกอบด้วยช็อตหลายๆ ช็อตที่เกิดขึ้นในสถานที่เดียวกัน และมีการกระทำต่อเนื่องของช็อตเหล่านี้ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุ เป็นผลต่อเนื่อง และภาพยนตร์ Art บางเรื่องนิยมถ่ายช็อตเดียวทิ้งยาวในฉากเดียวโดยไม่มีการตัดต่อเพิ่มเติมใดๆ เช่น ภาพยนตร์จากญี่ปุ่น
Screenplay – บทภาพยนตร์สำหรับนักแสดงเอาไว้อ่าน ซึ่งมีรายละเอียดเกี่ยวสถานที่ วัน เวลา เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละฉาก พร้อมบทสนทนา
Script – บทภาพยนตร์ที่ใช้สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ อาจจะเขียนขึ้นมาใหม่หรือดัดแปลงมาจากวรรณกรรม นวนิยาย เรื่องสั้น
Sequence : ตอนๆ หนึ่งของภาพยนตร์ ซึ่งเกิดจากซีน (Scene) หลายๆ ซีนมารวมกัน มีความสมบูรณ์ในตัวเอง อาจเริ่มต้นและจบลงด้วยการเชื่อมภาพแบบ fade, dissolve หรือ cut ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งจะประกอบด้วย Sequence หลายๆ Sequence มารวมกันเป็นเรื่องราว เช่น Sequence ตอนพระเอกยังวัยเด็ก, Sequence ตอนพระเอกพบรักครั้งแรก เป็นต้น
Shot – เป็นการบันทึกภาพในแต่ละครั้ง กล่าวคือ เริ่มกดปุ่มบันทึกภาพหนึ่งครั้งและกดปุ่มหยุดบันทึกอีกหนึ่งครั้ง นับเป็น 1 shot
Shooting Script – เป็นบทถ่ายภาพยนตร์สำหรับทีมงาน ซึ่งจะมีข้อมูลทางเทคนิค การวางตำแหน่งกล้อง การเคลื่อนกล้อง ขนาดภาพ มุมภาพ เป็นศัพท์และคำ ย่อเฉพาะทางด้านภาพยนตร์ทั้งสิ้น จึงเหมาะสำหรับทีมงานของกองถ่ายนั้นๆ หรือผู้ที่ศึกษามาทางภาพยนตร์โดยเฉพาะ
Slate : แผ่นกระดานชนวน ที่ใช้ถ่ายก่อนการถ่ายทำในแต่ละเทค โดยมีการขีดเขียน หรือบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเทคนั้นๆ เพื่อให้คนตัดต่อได้ทราบว่าเทคนั้นเป็นเทคที่เท่าใด และจะมีไม้ตีเกี่ยวอยู่ข้างบน เพื่อทำให้เกิดเสียง เมื่อเวลาตัดต่อจะสามารถเชื่อมภาพกับเสียงเข้าด้วยกัน ทำให้เสียงพูดกับปากนักแสดงตรงกัน และหากเทคใดลืมถ่าย Slate ก็ให้ถ่ายในตอนท้ายของเทคนั้น โดยถ่ายแผ่น Slate กลับหัว
Slate – บอร์ดแสดงข้อมูลการถ่ายทำในแต่ละช็อต ซึ่งจะมีข้อมูลของช็อตนั้นที่กำลังจะถ่ายเช่น ชื่อภาพยนตร์ ฉาก ช็อต เทคที่เท่าไรชื่อผู้กำกับ ช่างภาพ ถ่ายกลางวันหรือกลางคืน ภายนอกหรือภายใน ฟิล์มม้วนที่เท่าไร วันที่ถ่าย เป็นต้น ซึ่งก่อนการถ่ายผู้กำกับต้องสั่งให้ทีมงานนำ Slate เข้ามาโชว์ที่หน้ากล้องเพื่อบันทึกว่าสิ่งที่กำลังจะถ่ายต่อไปนี้คืออะไร เพื่อเป็นประโยชน์ตอนตัดต่อ
Skin Flick : ภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นเนื้อหนังมังสา สัดส่วนโค้งเว้า โดยมากจะเป็นภาพของสตรี แต่ก็ไม่เสมอไป เป็นการกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกของคนดูจากความงามที่นำเสนอ แต่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเรื่องลามกอนาจาร เช่นเรื่อง Apple Knockers and the Coke ก่อนปี ค.ศ. 1948 ของ Marilyn Monroe โดยที่เธอปรากฎกายในลักษณะเปลือยเปล่า กำลังเล่นกับลูกแอปเปิ้ล และขวดโคล่าอย่างมีเลศนัย ซึ่งภาพยนตร์ในบัจจุบันนิยมกันมากเพื่อเป็นจุดขายมากกว่าภาพศิลปะ
Storybord – ภาพประกอบเหตุการณ์ในแต่ละช็อต เพื่อให้การถ่ายทำได้เห็นภาพเป็นรูปธรรมมากที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้ทีมงานทุกฝ่ายเข้าใจตรงกัน
Subjective – มุมแทนสายตาตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งมุมจะเปลี่ยนไปตามอิริยาบทของตัวละครที่กล้องแทนสายตาอยู่ ไม่ว่าจะ เดิน นั่งนอน
Synopsis – แนวความคิดหลัก และโครงสร้างของภาพยนตร์แบบกระชับ
Theme -แก่นของเรื่อง
Tilt – คือการกดกล้องลงหรือเงยขึ้นระหว่างที่ถ่ายทำ (ลักษณะจะคล้าย pan แต่เปลี่ยนจากซ้าย-ขวา เป็นบน-ล่าง) การสื่อความหมายจะคล้ายกับ pan คือ ต้องการเน้นสิ่งใดก็ให้ Tilt ไปหยุดที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งสุดท้าย เช่น “กล้องแทนสายตาของฝ่ายชายที่กำลังตะลึงกับครั้งแรกที่เจอสาวสวย จนถึง ขนาดต้องกวาดสายตาตั้งแต่ปลายเท้าของฝ่ายหญิง เรื่อยขึ้นมาจนถึงใบหน้า ( กล้องจะ tilt up )จนลืมไปว่าเป็นการเสียมารยาท” เป็นต้นในลักษณะนี้จะ เป็นการเน้นที่หน้าของฝ่ายหญิงมากกว่าเรือนร่าง
Treatment – เป็นการขยายเรื่อง (Plot) ตั้งแต่ต้นจนจบอกมาในลักษณะความเรียง
อ้างอิง http://taditida.blogspot.com/2012/02/blog-post.html
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)